ในเดือนที่ผ่านมา ผลกำไรในด้านอุตสาหกรรมของประเทศจีน ลดระดับลงไปอย่างมาก ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า มันเกิดขึ้นมาจาก การชะลอตัวลงของกิจกรรมด้านการผลิต มันจึงเป็นผลทำให้ กรุงปักกิ่งต้องเพิ่ม มาตรการส่งเสริมต่อการเติบโต เพื่อรักษาเสถียรภาพให้กับ ทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบ จากข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐอเมริกา

นักวิเคราะห์เน้นย้ำว่า การเติบโตของผลกำไรในภาคอุตสาหกรรม ชะลอตัวลงไป ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2018 ส่วนเดือนเมษายนปี 2019 พบว่า รายได้ลดลงไปอยู่ที่ 3.7% ไปเป็น 515.4 พันล้านหยวน (74.8 พันล้านดอลลาร์) เป็นรายปี อ้างอิงข้อมูลที่นำเสนอออกมาจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (NBS) ที่ระบุว่า ตัวบ่งชี้เพิ่มขึ้นมา โดยเฉพาะในเดือนมีนาคมปีนี้ ที่ขยับตัวไปถึง 13.9% สำหรับตัวแทนของ NBS คุณ Zhu Hong ออกมากล่าวว่า ผลของเดือนมีนาคม ได้รับผลดีมาจากบริษัทหลายแห่ง ที่แห่กันซื้อสินค้าอุตสาหกรรมอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ยอดการขายที่ลดลงไปในเดือนเมษายน ปี 2019 ได้ส่งผลกระทบอย่างมาก ต่อผลประกอบการ

ในช่วงสี่เดือนแรก ของปีนี้ ผลกำไรของภาคอุตสาหกรรมโดยรวม ลดระดับลงมาอยู่ที่ 3.4% โดยคิดเป็น 1.81 ล้านล้านหยวน เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ ช่วงเวลาเดียวกันของปี 2018 สำหรับตัวบ่งชี้ได้ลดระดับลงมาสู่ 3.3% ในไตรมาสแรกของปี 2019 ในช่วงเดือนมกราคม จนถึงเดือนเมษายนของปี 2019 นั้นพบว่า ผลกำไรในการผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีความเสี่ยงอย่างมากที่สุด ต่ออัตราภาษีจากสหรัฐอเมริกา ก็ได้ปรับตัวลงมาถึง 15.3% ผู้เชี่ยวชาญสังเกตว่า เฉพาะในภาคการสกัดน้ำมันของประเทศจีนเท่านั้น ที่มีการเติบโตอย่างมาก

ทางกรุงปักกิ่ง ได้เพิ่มมาตรการตอบโต้ขึ้นมา เพื่อสนับสนุนผู้ผลิตภายในประเทศ เนื่องด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และอัตราภาษีที่กำหนดโดยสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้นมา ควรสังเกตบริษัทหลายแห่งเป็นพิเศษ เนื่องจากกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาด้านการเงิน นอกจากนั้น ทางการของประเทศจีน ให้คำมั่นสัญญา ที่จะลดภาษีและ เพิ่มการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน ธนาคารกลางของจีน ประกาศที่จะปรับลด อัตราส่วนเงินทุนสำรองตามกำหนดสำหรับธนาคารในภูมิภาค ดังนั้นมาตรการเหล่านี้ คาดการณ์ว่า จะช่วยให้การสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างมาก